ภาคต่อของประวัติศาตร์ มันเป็นเรื่องที่สุดยอดมาก พวกเขาวิเศษและน่าทึ่งสุดๆ 

ภาคต่อของประวัติศาตร์ “ชาวมองโกล สามารถเชื่อมต่อ กับม้าของพวกเขาได้ เมื่อพวกเขากระโจน ขึ้นข้างหลังม้า เมื่อนั้นพวกเขา จะแสดงสีหน้าท่าทางว่า สุขสบาย แม้กระนั้นในทางเดียวกัน มันจะแสดง ให้มองเห็นถึง ความแข็งแกร่ง และก็ความภูมิฐาน ของชาวมองโกลด้วย” ส่วนใดส่วนหนึ่งที่ ฮัสลุนด์ เขียนเอาไว้ภายในปี 1934

ถ้าจะย้อนไปไกลกว่านั้นก็มีหลักฐานการรับรองจากบันทึกการเดินทางของ จิโอวานนี่ เด คาร์ปินี บรรพชิตแผนกฟรังสิสกันแขกดูโกเลียในปี 1240 แล้วก็บรรพชิตจากดินแดนไกลพบว่า “นี่เป็นเรื่อง ที่ไม่มีที่ใด ในโลกอีกเเล้ว”

“ลูกๆของพวกเขา เริ่มขี่ม้าตั้งแต่อายุ 2-3 ขวบ พวกเขา จะได้เริ่ม ควบม้ารวมทั้ง บังคับมัน เด็กๆเหล่านี้คล่องแคล่ว และก็กล้าหาญชาญชัย แม้กระทั่งเป็น เด็กสาวก็ ว่องไว ไม่มีความแตกต่างกับเด็กชาย” นี่เป็นสิ่งที่ จิโอวานนี่ รับรอง สิ่งเล็กๆแต่ยิ่งใหญ่

3 ขวบสำหรับ สำหรับเริ่ม 4 ขวบ สำหรับในการบังคับ 6 ขวบ ในการควบม้าเพื่อเเข่งขัน รวมทั้ง 10 ขวบเพื่อเป็นยอดเยี่ยม นักขี่ม้ารวมทั้ง ทำให้ม้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน กับพวกเขา นี่เป็นวิถีที่เด็กๆถูกปลูกฝังมาแต่ว่าเด็ก! แล้วก็มันบอกอะไร ได้หลายชนิด ว่าเพราะเหตุไร พวกเขาก็เลย ยิ่งใหญ่จาก การรบบนข้างหลังม้า

ยิ่งไปกว่านี้ คนขี่ม้าในประเทศมองโกเลีย ต้องทำความเข้าใจ ความจำเป็น ในการดูแลม้าด้วย เพราะว่าพวกเขา มิได้ว่าจ้างผู้ที่มีความเชี่ยวชาญ จากด้านนอก มาฝึกการสอน รวมทั้งไม่มีสัตวเเพทย์ พวกเขาจำเป็นต้อง! ดูแลเองทุกขั้นตอน แล้วก็ทุกอย่าง ทุกสิ่ง ที่พวกเขาทราบ เกี่ยวกับม้า จะถูกถ่ายถอด มาจากรุ่นสู่รุ่น โดยเกือบจะ ไม่มีองค์ประกอบ จากหนังสือ หรือหลักสูตรจากโลกข้างนอกเลย

สำหรับพวกเขาแล้ว ม้าเป็น “ดูเหมือนจะทุกสิ่ง” ของพวกเขา ไม่แปลกนัก ที่พวกเขาจะ ยกย่องม้ามากกว่า ในฐานะเพื่อนร่วมทาง ของพวกเขา นมของแม่ม้าเป็นสิ่งที่ มั่นใจว่าเป็น ราวกับน้ำมนต์ นอกนั้นเมื่อใดก็ตาม กินเหล้าขณะที่อยู่บนข้างหลังม้า พวกเขาจำเป็นต้องเทสุราใส่แผงคอของม้าซะก่อน เพราะเหตุว่าแผงคอของม้าเป็นสัญลักษณ์ของความแข็งแกร่ง

การ “เคารพนับถือม้า” สืบต่อมากัน อย่างช้านาน บางครอบครัวนั้นจะมี “ม้าศักดิ์สิทธิ์” ซึ่งเป็นม้าป่า ที่จะผิดขี่ แม้กระนั้นจะถูกเก็บไว้ เพื่อเป็นเครื่องบูชา ในโอกาสพิเศษแค่นั้น โดยพิธีการนี้ ก็ตกทอด มาจากสมัยของ เจงกิสข่าน ด้วยเหมือนกันด้วยเหตุว่าในวันที่ เจงกิสข่าน เสียชีวิตงานศพของเขา มีม้าถูกบวงสรวง ทั้งสิ้น 40 ตัว อย่างยิ่งจริงๆ

ภาคต่อของประวัติศาตร์

ปัจจุบันที่แทบไม่เปลี่ยนแปลง

ตอนนี้โลกพัฒนาการไปไกล หลายความเชื่อถือจากเผ่าต่างๆถูกลบล้างด้วยวิทยาศาสตร์รวมทั้งเลือนหายไป แต่ว่าสำหรับความเกี่ยวเนื่องระหว่าง ม้า นั้นไม่มีเปลี่ยน ปัจจุบันนี้ม้ายังคงเป็นช่องทางแรกสำหรับในการขนส่งไม่ว่าจะทั้งคนแล้วก็ผลิตภัณฑ์ ว่ากันว่าพลเมืองม้าในมองโกเลียนั้นถ้าหากเทียบกับปริมาณราษฎรในประเทศจะได้สัดส่วนเกือบจะ 1:1 อย่างยิ่งจริงๆ นั่นถือได้ว่าเดี๋ยวนี้มองโกเลียเป็นประเทศที่มีม้ามากกว่า 3 ล้านตัว

มองโกเลียยังคงรักษาวัฒนธรรมพระเพณีมาอย่างช้านาน ไม่เฉพาะแต่ราษฎรกว่า 3 ล้านคนจะใช้งานในชีวิตประจำวันเพียงแค่นั้น แต่ว่าม้ายังถูกใช้ในฐานะ “หัวหน้าท่องเที่ยว” สำหรับนักเดินทางที่มาเยี่ยมประเทศ ถ้าเกิดคุณทดลองได้มองข้อมูลในเน็ต จะเจอบว่าทริปขี่ม้าท่องเที่ยวเมือง เป็นกิจกรรมที่นิยมอย่างยิ่งในทุกวันนี้

เมื่อความสวยสดงดงามของประเทศแล้วก็เรื่องราวเกี่ยวกับคนรวมทั้งม้าทุกเล่าแบบปากต่อปาก ขณะนี้ มองดูโกเลีย มีงานเเข่งม้าที่คู่รักม้าทั่วทั้งโลกฝันต้องการจะมาเยี่ยมสักหนึ่งครั้ง โดยมีชื่องานว่า มองโกล ดาร์บี” ที่จัดขึ้นทีแรกในปี 2009 กีฬาขี่ม้า

“มองโกล ดาร์บี” ไม่ใช่การแข่งม้าแบบปกติทั่วไป แต่คือการแข่ง ที่โหดมากที่สุดที่หนึ่ง นักแข่งจะต้อง อยู่บนหลังม้า และขี่ม้า ผ่านเส้นทางม้า นำสารในอดีต ของชนเผ่า รวมระยะทาง 1,000 กิโลเมตร

ผู้ที่ดูแลม้าดียิ่งกว่า มักทำผลงานได้ดิบได้ดี กว่าผู้ที่มุ่ง แต่ว่าจะเอาชนะ ม้าบางตัวก็หุนหันพลันแล่นกว่าตัวอื่น รวมทั้งผมรู้สึกว่า อารมณ์ของผู้ขี่ กับอารมณ์ของม้าควรจะไปทางเดียวกันด้วย” ทอม มอร์แกน กล่าว ดูบอลสด

เรื่องราวทั้งมวลบอกให้เห็นอย่างเป็นเหตุสำเร็จว่าเพราะอะไร “มองโกล” ก็เลยเป็นเชื้อสายที่ควบคุมม้าหรือขี่ม้าได้เก่งที่สุดในโลก ในทุกขั้นตอนของการเลี้ยงแทบจะปล่อยตามธรรมชาติไม่มีการบังคับเฆี่ยนตี

นอกจากนั้นเมื่อม้ายินยอมให้พวกเขาขี่แล้ว พวกเขายังมองมันในฐานะเพื่อน ไม่ใช่ยานพาหนะที่จะพาพวกเขาไปไหนก็ได้ตามที่พวกเขามุ่งมาดปรารถนา แล้วก็สิ่งของที่มีความจำเป็นที่สุดเป็นความสามารถพิเศษที่ส่งต่อกันจากรุ่นสู่รุ่นโน่นเป็นการ “รู้กันกับม้า” แม้ว่าจะบอกกันคนละภาษก็ตาม